การก่อตัวของลัทธิชาตินิยม
ลัทธิชาตินิยมเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรักความนิยม ความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจในชาติ เชื้อชาติและวัฒนธรรมในชาติ เช่นศาสนา ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆเงื่อนไขสำคัญที่เชื่อมโยงให้เกิดลัทธิชาตินิยมในหมู่ประชาชนคือการมีประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม และการเผชิญปัญหาร่วมกัน
ดังนั้นกระแสชาตินิยมจึงก่อตัวขึ้นได้ในทุกดินแดน เมื่อคนในชาตินั้นรู้สึกว่าชาติเผ่าพันธุ์หรือวัฒนธรรมของตนกำลังถูกคุกคามหรือครอบงำจากชนชาติอื่นหรือชนกลุ่มอื่นในชาติเดียวกัน
สาเหตุของการเกิดลัทธิชาตินิยม
ลัทธิชาตินิยมที่ก่อตัวขึ้นในแต่ละดินแดนมีพัฒนาการแตกต่างกันตามเงื่อนไขและปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดลัทธิชาตินิยม
สาเหตุสำคัญของการเกิดลัทธิชาตินิยมเป็นผลจากการขยายลัทธิจักรวรรดินิยม
ความคลั่งชาติและความเชื่อมั่นในอุดมการณ์การเมือง
การขยายลัทธิจักรวรรดินิยมลัทธิชาตินิยมมักก่อตัวขึ้นในดินแดนอาณานิคมนำโดยปัญญาชนและผู้นำชาวพื้นเมืองที่ได้รับการศึกษาดีและรู้เท่าทันชาวตะวันตก
บุคคลเหล่านั้นเห็นว่าชาวตะวันตกกอบโกยทรัพยากรและความมั่งคั่งไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ในขณะที่ชาวอาณานิคมมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นและด้อยพัฒนา
จึงเกิดความรู้สึกต่อต้านเมืองแม่และปลุกกระแสชาตินิยมในหมู่ประชาชน
ทั้งในรูปของการแสดงปาฐกถา และการเผยแพร่แนวความคิดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น บทความ
และแผ่นปลิวความคลั่งชาติ ความรักชาติและเผ่าพันธุ์อย่างรุนแรงของผู้นำประเทศบางคนที่ต้องการสร้างประเทศของตนให้เป็นจักรวรรดิยิ่งใหญ่
ทำให้กลายเป็นความคลั่งชาติและมีการปลุกกระแสนิยมในหมู่ประชาชนให้คล้อยตาม
ความคิดและปฏิบัติตามผู้นำ ดังกรณีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพรรคนาซี
(Nazi) เยอรมันต้องการสร้างประเทศเยอรมณีให้เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
และยุยงให้ต่อต้านชาวยิว
เพราะฮิตเลอร์เชื่อว่าชาวยิวเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของชนเผ่าอารยัน
แนวคิดดังกล่าวส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในระหว่างสงครามดังกล่าว
ความเชื่อมั่นในอุดมการณ์การเมืองความยึดมั่นในลัทธิการเมืองของผู้นำแต่ละประเทศก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดลัทธิชาตินิยมด้วย
โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น
ที่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างประเทศที่ยึดถืออุดมการณ์การเมืองแตกต่างกัน ผู้นำบางประเทศได้ปลุกกระแสชาตินิยมให้ประชาชนคล้อยตามอุดมการณ์ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ
และให้ต่อต้านอุดมการณ์ที่แตกต่างจากตนอย่างรุนแรง เช่น
กรณีเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
ซึ่งต่างยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนจนไม่สามารถปรองดองกัน
การขยายตัวของลัทธิชาตินิยม
ลัทธิชาตินิยมเริ่มขึ้นในทวีปยุโรปและขยายตัวในคริสต์ศตวรรษที่
19 หลังจากนั้นลัทธิชาตินิยมได้ ขยายตัวในทวีปต่างๆ
อย่างรวดเร็วในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามโลกครั้งที่
2ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ
ถูกย่ำยีจากกองทัพของต่างชาติ เช่น
กองทัพนาซีเข้ารุกรานประเทศยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก
และกองทัพของญี่ปุ่นกดขี่ข่มเหงประชาชนในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างสงครามมหาเอเชียบรูพา
ส่งผลให้มีการขยายตัวของลัทธิชาตินิยม
ต่อมาลัทธิชาตินิยมได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในประเทศเกิดใหม่หลังสงครามและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในดินแดนเหล่านั้น
หารขยายตัวของลัทธิชาตินิยมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสาเหตุ
ดังต่อไปนี้
ประการแรก หลังสงครามโลกครั้งที่
2 ดินแดนต่างๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจ ตลอดจนชนกลุ่มน้อยที่เคยถูกปกครองและถูกกดขี่ข่มเหงจากประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเดียวกันได้ใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหว
ขอแยกตัวเป็นอิสระ
ส่งผลให้มีประเทศเกิดใหม่เนื่องจากแรงผลักดันด้านชาตินิยมเป็นจำนวนมากในเอเชีย
แอฟริกา และแหลมบอลข่าน
ประการที่สอง ประชาชนในประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่
2 ที่เป็นอดีตอาณานิคมของต่างชาติถูกกระตุ้นให้มีความนึกคิดแบบชาตินิยม
เนื่องจากผู้นำประเทศต้องการใช้จิตสำนึกนี้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เช่น
เวียดนาม และเกาหลีใต้
ประการที่สาม หลังสงครามโลกครั้งที่
2 ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต่างพยายามพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า
และอาศัยความช่วยเหลือจากชาติมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเงินทุนและเทคโนโลยี
ชาติมหาอำนาจจึงฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบและเรียกร้องสิ่งตอบแทน เช่น
การขอตั้งฐานทัพเพื่อขยายอิทธิพลทางการทหารและการเอาเปรียบด้านการค้า
กรณีเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสชาตินิยมต่อต้านประเทศมหาอำนาจ เช่น
การประท้วงขับไล่ทหารอเมริกันในประเทศไทยและฟิลิปปินส์
การประท้วงสินค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย ฯลฯ
ผลของลัทธิชาตินิยม
การต่อสู้และเรียกร้องเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่
2 อันเนื่องมาจากการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมได้ส่งผลกระทบที่สำคัญคือ
ประการแรก ทำให้เกิดสงครามเรียกร้องเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่
2 เนื่องจากเจ้าของอาณานิคมเดิม
หรือผู้ปกครองประเทศไม่ยินยอมให้ชนกลุ่มน้อยแบ่งแยกดินแดน
กลุ่มชาตินิยมจึงผลักดันให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้าน เช่น
สงครามระหว่างฝรั่งเศสกับอาณานิคมในอินโดจีน
สงครามระหว่างกลุ่มเรียกร้องเอกราชในอินโดนีเซียกับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์
และสงครามระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ในแหลมบอลข่าน แอฟริกา พม่า
อิหร่าน และอิรัก
ประการที่สอง ทำให้มหาอำนาจในสงครามเย็นฉวยโอกาสแทรกแซงการต่อสู้ของกลุ่มชาตินิยมในประเทศที่กำลังมีความขัดแย้งเป็นผลให้ปัญหาบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง
และประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ดังเช่น กรณีสงครามกลางเมืองในกัมพูชา
สงครามเวียดนาม และสงครามเกาหลี
แหล่งอ้างอิง http://metricsyst.wordpress.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น